ย้อนรอย Timeline
‼️บุษราคัม จันทบุรี
ทำไมคนจึงชอบเรียกว่า "เขียวเผา"?
🎈ครั้งหนึ่งที่ผมเคยเขียนเรื่อง “พลอยเขียวส่องจันทบุรี” และ “การเผาใหม่ของพลอยทับทิมอุดแก้วตะกั่วไป”
.
มาวันนี้จึงอยากสะท้อนเรื่องราว ตำนานพลอยบุษราคัมจันทบุรี (บุษย์จันท์) เพราะยังมีบางส่วนของเรื่องราวที่เกี่ยวพันกัน
📍พลอยบุษราคัม หรือที่เรารู้จักกันดี ในชื่อทางการค้าว่า “Yellow Sapphire” นั้น
ในประเทศไทย มีการขุดพบที่ อ.บางกะจะ จ.จันทบุรี และที่ จ. กาญจนบุรี มาแต่โบราณ และวันนี้ผมอยากเล่าเจาะลึกเรื่องราวพลอย “บุษย์จันท์” โดยเฉพาะให้ได้ฟังกัน
.
เรื่องราวการทำเหมืองพลอยที่จันทบุรีนั้น ว่ากันว่าถ้าได้ขุดพบพลอยบุษราคัมที่ใด ก็มักจะพบพลอยเขียวส่อง (Green Sapphire) อยู่บริเวณนั้นเช่นเดียวกัน เพราะความที่พลอยทั้งสองชนิดนี้ ล้วนอยู่ในกลุ่มสายแร่ชนิดเดียวกัน
แต่เดิมในอดีต ความนิยมตัวพลอยบุษราคัมนั้นก็มีมากกว่าพลอยเขียวส่องหลายเท่านัก
.
เมื่อความต้องการพลอยบุษราคัมในตลาดมีสูงกว่า และยิ่งต้องพบว่า
.
📍ปริมาณการขุดเจอ “บุษย์จันท์” นั้น มีน้อยมากจนเกือบหมดไป
📍ราคาพลอย “บุษย์จันท์” ในช่วงเวลานั้น ก็สูงมากอย่างน่าใจหาย
🎈 ผมยังจำได้ถึงคำบอกเล่า ที่มาจากคนทำพลอยรุ่นเก่าๆที่มักเคยเล่าให้ฟังว่า
“แค่บุษราคัมจันท์เม็ดเล็กๆ สวยๆ คุณภาพดีๆ ที่มีน้ำหนักเพียง 3-4 กะรัตก็มีราคาขึ้นหลักแสนเสียแล้ว” (หลักแสนในสมัยก่อนก็ช่างต่างจากหลักแสนในปัจจุบันเหลือเกิน)
และสมัยนั้นเอง…
ก็ยังมีซื้อขาย “พลอยบุษราคัม แบบดิบ” หรือเป็นแบบ “พลอยสด” กันอยู่ เพราะชาวบ้านต่างก็ยังไม่รู้จักวิธีการเผาพลอยกัน
.
⭕️ จนยุคต่อมา…
เมื่อเริ่มค้นพบและพัฒนาวิธีการเผาพลอยได้
📍พลอยบุษราคัมจันท์ เผาเก่า หรือเผาแบบโบราณจึงเกิดขึ้น
แต่อย่างไรก็ยังมีออกมาให้พบเห็นในท้องตลาดไม่มากนัก
.
📍สาเหตุเพราะ…
“วัตถุดิบพลอยก้อนสีเหลือง” ที่ไม่ค่อยมี ซึ่งทำให้ราคาพลอยบุษราคัม จันทบุรีในช่วงเวลานั้นสูงต่อเนื่องโดยตลอดเช่นกัน
.
.
⭕️ ช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนี่เอง...
ก็เป็นช่วงเวลาที่เริ่มมีพลอยก้อน “บุษราคัมจาก ประเทศศรีลังกา” หรือที่คนไทยมักคุ้นเรียกกันว่า “บุษย์ ซีลอน” ได้ถูกนำเข้ามาเผาที่จันทบุรี (แหล่งรวมภูมิปัญญาการเผาพลอยมาแต่โบราณ)
.
การเผาพลอยด้วยภูมิปัญญาชาวบ้านแบบเก่า (เผาเก่า) ได้ช่วย…
📍ทำให้การเผาพลอย ”บุษย์ ซีลอน” ที่แต่เดิมเป็นพลอยสีเหลืองโทนอ่อน (โทนสีบุษย์น้ำเพชร)สามารถถูกเผาได้ จนสวยสว่างขึ้นมาเป็นพลอยสีโทน “บุษย์น้ำทอง บุษย์น้ำโขง และ โทนสีหมากสุกได้”
📍และด้วยลักษณะเด่นของ “สีพลอย” บุษย์ ซีลอน ซึ่งเป็นพลอยสีสด สีเปิดโปร่ง...
ทำให้ “พลอยบุษย์ ซีลอน” เข้ามาครอบครองความนิยมในใจคนไทยอย่างรวดเร็ว
🎈 ถ้าใครสะสมพลอยมานาน ยังคงจำกันได้ถึงช่วง 20-30 ปีก่อน ที่ทุกคนมักถามหากันแต่ “บุษย์ ซีลอน”
.
และช่วงเวลานั้น…
ก็จัดเป็นช่วงยุคทองของ “พลอยบุษย์ ซีลอน” ที่ขายได้ราคาดีกันเลยทีเดียว
.
.
⭕️ ต่อมาช่วงราวๆปี 2544 หรือเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ก็เป็นอีกช่วงเวลาสำคัญสำหรับคนในวงการพลอยที่ต้องจดจำ
.
📍เมื่อปรากฎว่า…
มีผู้เผาพลอยที่สามารถค้นพบ “การเผาพลอยรูปแบบใหม่” ได้โดยบังเอิญ
.
และผมขอเรียกกรรมวิธีการเผาพลอยแบบนี้ว่า
‼️ ”การเผา Be” ‼️
ที่อยากเน้นย้ำว่าเป็นเรื่อง "ความบังเอิญ" นั้นเป็นเพราะว่า
.
📍เมื่อผู้เผาพลอยได้เผาอบพลอยเนื้ออ่อนบางชนิดจนเสร็จ ซึ่งนั่นก็รวมถึงกลุ่มพลอยเนื้ออ่อนตระกูลคริสโซเบอริลซึ่งปะปนรวมอยู่ด้วย
.
ต่อมาเมื่อผู้เผาพลอยนำพลอยเนื้ออ่อนชุดนั้นที่เผาเสร็จแล้ว ออกจากเบ้าเผา และแล้ว
ด้วยความบังเอิญ
ก็นำ “พลอยเนื้อแข็ง” ที่มีหลากหลายสี (ซึ่งได้เตรียมไว้แล้ว) เพื่อจะใส่ใน “เบ้าเผาพลอย” อันเดิม และตั้งใจว่าจะเผาพลอยชุดใหม่ที่ว่านี้... ต่อไปจนเสร็จ
.
ครั้นพอเสร็จได้รอบการเผาแล้ว... ก็เปิดเบ้าเผาพลอยออก เพื่อตรวจสอบ
.
ทันใดนั้นเอง ก็พบกับ...
‼️ความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น
📌 “พลอยเนื้อแข็ง” ที่ผ่านการเผาจาก “เบ้าเผาพลอย” นั้น ต่างมีความสวยงามของสีสันที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
.
พลอยเนื้อแข็งหลายๆสี หลากหลายชนิด ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มี “พลอยเขียวส่อง” รวมอยู่ด้วย และเป็นที่ประจักษ์ในเวลานั้นว่า…
.
📍พลอยที่เผาเสร็จ ต่างมีโทนสีออกแกมเหลือง แกมส้ม เพิ่มขึ้น
.
จึงทำให้ในเวลาต่อมา ได้ลองเผาพลอย แบบลองผิด ลองถูก จนเป็นที่มาของการค้นพบความลับในภายหลังว่า...
📍“เบ้าเผาพลอยเดิมที่เคยเผาพลอยเนื้ออ่อนนั้น มีธาตุเบอริเลียม (Be) อยู่ ซึ่งธาตุดังกล่าว เป็นธาตุองค์ประกอบหนึ่งที่อยู่ในพลอยเนื้ออ่อน ชนิดคริสโซเบอริล ซึ่งตกค้างในเบ้าเผาพลอยก่อนหน้า”
⭕️ ธาตุเบอริเลียม (Be) นี้เป็นธาตุเบา (Light Element) ไม่มีสี และเกิดอยู่ในธรรมชาติเดิมอยู่แล้ว
.
และยังเป็นธาตุองค์ประกอบหนึ่งในพลอยคริสโซเบอริล (BeAl2O4) มาแต่เดิม
.
ซึ่งพลอยคริสโซเบอริลก็เป็นพลอยธรรมชาติอยู่แล้ว จึงไม่ใช่สารเคมีที่เกิดจากมนุษย์ตั้งใจทำขึ้นแต่อย่างใด
.
และพบต่อมาว่า...
ธาตุBe นี่เองยังมีความพิเศษตรงที่
.
📍ช่วยเร่งปฏิกิริยาของการเผาพลอย เมื่อเพิ่มอุณหภูมิภายในของเบ้าเผาพลอยให้สูงขึ้น
.
(ซึ่งต่อมาห้องแลปเอง ก็เคยพิสูจน์ และนิยามการเผาพลอย Be นี้ว่าเป็น High Temperature Heated ไว้เช่นกัน)
.
📍เมื่อได้เพิ่มอุณหภูมิภายในของเบ้าไฟสูงขึ้น จนอุณหภูมิสูงถึงจุดๆหนึ่ง
.
📌 ปฏิกิริยาที่ว่านี้จะช่วยกด “โทนสีน้ำเงิน” ซึ่งเป็นโทนสีที่อยู่ในพลอยเขียวส่องไม่ให้เกิดการแสดงสีออกมา
.
ดังนั้น “โทนสีเหลือง” ซึ่งมีอยู่ใน “พลอยเขียวส่อง” นั้น จึงได้ปรากฎสีเหลืองออกมาได้เต็มที่
.
ภาพของ “พลอยเขียวส่อง” ที่เห็น จากเดิมเป็นพลอยสีเขียว จึงได้เปลี่ยนให้เราเห็นเป็นพลอยสีเหลือง (บุษจันท์) นั่นเอง
🎈อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงสงสัย หรือค้านในใจกันว่า มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน?
.
📍เหตุผลเพราะ…
“พลอยเขียวส่อง” ประกอบด้วย เชื้อสีที่มีโทนสีน้ำเงิน + โทนสีเหลืองในตัวพลอย
🎈 อธิบายในมุมหลักทางวิทยาศาสตร์ ว่าด้วยเรื่องของการผสมแม่สีที่ว่า
.
“สีเขียว” เกิดจากการผสมของสีน้ำเงิน + สีเหลือง
.
ดังนั้นเมื่อโทนสีน้ำเงินถูดกดไม่ให้แสดงออกมาได้ พลอยจึงคงเหลือแต่โทนสีเหลือง ที่ปรากฏออกมาให้เราเห็น
(คงพอเห็นภาพนะครับ)
.
แต่ก็ใช่ว่าทุกเม็ดของพลอยเขียวส่องนั้นจะทำได้ ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับ *เชื้อสีที่มีอยู่ในพลอยอีกด้วยเช่นกัน
.
.
นอกจากนี้ ธาตุ Be ยังช่วยเร่งปฎิกิริยาได้ดี กับพลอยที่มีองค์ประกอบของธาตุเหล็ก (Fe) สูง
ดังนั้นจึงมีเพียงแค่พลอยจากบางเหมืองเท่านั้นที่การเผา Be สามารถช่วยเร่งปฏิกิริยาได้ดี ดังเช่น
🔹 พลอยเขียวส่อง จากเหมืองจันทบุรี
🔹 พลอยสีส้มจากเหมือง Songea ประเทศแทนซาเนีย และ
🔹 พลอย สีชมพู (Pink Sapphire) เหมือง ilakaka ประเทศมาดาร์กัสการ์
ดังนั้นเราจึงเห็นการเผาพลอย Be กับพลอยแค่เพียงบางชนิด และมาจากแค่บางเหมืองเท่านั้น
.
เพราะสาเหตุดังที่ว่ามานี้นี่เอง จึงเป็นความพิเศษที่ธรรมชาติจัดสรรมาให้ครับ
.
ความมหัศจรรย์ของการคิดค้นการเผา Be ที่ว่านี้ คือปรากฎการณ์ใหม่ต่อวงการ “การเผาพลอย” ที่ว่า
📌 สามารถชุบชีวิต “พลอยบุษราคัม จันทบุรี” ให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ความดีใจกับการคิดค้นด้วยภูมิปัญญาชาวบ้านนี้... ก็อยู่ได้เพียงไม่นาน
.
เพราะช่วงระยะแรกๆของการค้นพบนี้ ตลาดยังไม่ยอมรับกับการเผาด้วยธาตุเบอริเลียมเลย เพราะยังอยู่ในช่วงการศึกษาทดลองว่า
.
📍ภายหลังจากนี้…
“สีของพลอย” จะมีการถดถอยหรือเปลี่ยนแปลงมากน้อยขนาดไหน และที่สำคัญ
📍“การเผา Be” ในยุคแรกนั้น ยังพัฒนาการเผาพลอยได้ไม่สมบูรณ์
🎈 ถ้าใครสะสมพลอยในยุคนั้น คงพอจำกันได้ถึง…
.
⭕️ “ร่องรอยจ้ำสีเขียว” ที่มีในเนื้อพลอยสีเหลือง และสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าอย่างชัดเจน
.
และสาเหตุนี้นี่เอง ที่เป็นเหตุการณ์ช่วงเริ่มต้นของปัญหา ที่ผมจะมาเล่าให้ฟัง...
⭕️ เมื่อพลอยบุษจันท์ (เผาBe) ชุดแรกๆ เริ่มถูกขายออกไปสู่ต่างประเทศ
.
หลายๆเม็ดที่ยัง “เผา Be ได้ไม่สมบูรณ์” ได้ถูกนำเข้าตรวจสอบยังห้องแลปชื่อดังในต่างประเทศ
.
.
🎈 สมัยนั้นเรื่องการเผา Be ยังเป็นเรื่องใหม่ (ของโลก)
.
ห้องแลปเองก็ยังไม่มีเครื่องมือทดสอบ LIBS (เครื่องใช้ตรวจหาธาตุ Be ที่ห้องแลปใช้ในปัจจุบัน)
.
และยังขาดองค์ความรู้ในการตรวจวิเคราะห์พลอยประเภทเผา Be เพราะถือเป็นเรื่องใหม่ของโลกในเวลานั้น
.
.
ดังนั้นเมื่อห้องแลปได้ตรวจ วิเคราะห์และเชื่อว่า...
.
📍กรรมวิธีการเผานี้ คล้ายวิธีการทำดีฟิวชั่น (Diffusion) หรือ การซ่าน “สีพลอย” จากแหล่งสีที่อยู่ภายนอก
.
(อธิบายง่ายๆคือ การแพร่สี จากข้างนอกเข้าไปในเนื้อพลอย หรืออธิบายแบบภาษาชาวบ้าน ก็คล้ายๆการย้อมสีนั่นเอง)
.
ซึ่งถ้าเป็นกรรมวิธี (Diffusion) แบบนี้ ตลาดย่อมต้องไม่ยอมรับแน่ เพราะสีจะไม่คงทนถาวร และสีที่เราเห็นก็ไม่ได้เป็นสีที่มาจากธรรมชาติของตัวพลอยเอง
.
.
🎈ในเวลานั้น ผมยังจำได้ว่าห้องแลปในต่างประเทศ ต่างได้ลงความเห็นการเผา Be นี้ไว้ว่า
.
นี่คือการทำ…
📌 “Bulk Diffusion”
(การย้อมสีพลอยแบบทั้งก้อนพลอย)
.
ในขณะที่ห้องแลปไทยบางสถาบัน ได้ลงความเห็นไว้ด้วยว่า
.
📌 “The colour is modified from external source”
(สีของพลอย ได้ถูกทำมาจากแหล่งภายนอก)
.
แค่ได้เห็น “ความคิดเห็น” ดังกล่าว และยิ่งถ้าได้เคยเรียน และเป็นนักอัญมณีศาสตร์มา
.
จะยิ่งรู้สึกกลัวต่อความคิดเห็นที่ถูกกล่าวถึงนี้ในเชิงลบ
เพราะความหมายมันหนักมาก
.
.
🎈ผมเข้าใจว่าช่วงเวลานั้น องค์ความรู้ใหม่ๆ ยังไม่มี และยังเป็นเรื่องใหม่ของโลก
.
📍ส่วนสาเหตุที่ห้องแลปต่างลงความเห็นดังกล่าว ผมเชื่อว่าก็คงเป็นเพราะ การพบ...
“จ้ำสีเขียว” ที่อยู่ใจกลางเนื้อพลอยบุษย์ สีเหลือง
ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่ปักใจเชื่อ รวมถึงหลักฐานอื่นที่บ่งชี้ว่า...
"พลอยถูกเผามาที่อุณหภูมิสูงจัด" อย่างผิดแผกแตกต่างจากอุณหภูมิการเผาแบบเก่า
🎈แน่นอนครับว่า
ผลจากการตรวจ วิเคราะห์และให้ความเห็นดังกล่าวจากห้องแลปชื่อดังในต่างประเทศ
.
📍ส่งผลให้พลอยบุษย์จันท์ ถูกตีคืนจากคู่ค้าเพราะความกังวลใจ รวมถึงยังถูกโจมตี และต่อต้านจากคู่แข่งทางธุรกิจในต่างประเทศที่กำลังสูญเสียตลาดพลอยในเวลานั้น
.
จนเป็นที่มาของการเรียกร้องจากต่างประเทศให้ฝ่ายไทยยอมเปิดเผยรายละเอียด ขั้นตอน และวิธีการเผา Be เพื่อแลกกับการตรวจสอบวิเคราะห์ และเปลี่ยนการลงความเห็นใหม่
.
.
📍แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีว่า…
ขั้นตอน รายละเอียด และวิธีการเผา Be ถือเป็น
.
📌 “ความลับทางการค้า” ของการเผาพลอย และเป็นนวัตกรรมใหม่ที่คิดค้นด้วยภูมิปัญญาชาวบ้าน ซึ่งปกติก็ไม่มีใครจะเปิดเผยสูตรการเผาพลอยออกมาอยู่แล้ว
.
.
🎈เรื่องราวนี้โด่งดังไปทั่วโลก และสร้างแรงต่อต้านการซื้อ “พลอยเผา Be” จากคู่ค้าต่างประเทศในวงกว้าง
.
ช่วงเวลานี้ จึงเป็นช่วงเวลาที่ซ้ำเติมพลอยบุษย์จันท์ และพลอยอื่นๆที่เผา Be ให้มีราคาต่ำเตี้ยติดดินเลยทีเดียว
‼️แน่นอนที่ว่า แล้วมุมนี้ใครจะได้รับผลกระทบที่รุนแรงสุด
🎈ผมเองยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้เสมอ กับเพื่อนร่วมอาชีพที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งท่านได้เล่าให้ฟัง
.
📍ผู้ที่รับผลกระทบหนักๆหน่อยก็จะเป็น
“คนทำพลอยสำเร็จ”
(*คือคนที่ซื้อขายพลอยในรูปแบบพลอยที่เจียระไนเสร็จแล้ว)
.
📌 ปัญหาตอนนั้นคือ…
“คนเผาพลอย” ได้ขายพลอยออกมาโดยที่ไม่ได้บอกที่มาของการเผาแบบใหม่นี้
.
(ผมเองก็เข้าใจในมุมของคนเผาพลอยว่า ก็เพราะเป็นภูมิปัญญา และเป็นความลับกันอยู่ และคงไม่อยากเผยเพื่อสร้างคู่แข่งในการเผารูปแบบใหม่นี้)
.
ดังนั้นช่วงแรกๆ ที่ “พ่อค้าพลอยสำเร็จ” ยังดูพลอยไม่รู้
(*การดู เผาBe ด้วยตาเปล่า ยังมีความผิดพลาดสูงมาก)
.
พ่อค้าพลอยเองต่างก็ซื้อเข้าสต๊อกกันยกใหญ่ พลอยออกมาเท่าไหร่ก็กวาดซื้อกันจนหมด
.
ส่วนคนเผาพลอยเอง เมื่อเผาพลอยออกมาได้เท่าไหร่ ก็ขายกันจนหมดเกลี้ยง และรีบเร่งเผาพลอยชุดใหม่เพื่อทำรอบการขายเพิ่มขึ้น จนเป็นที่มาของ...
‼️การเผาพลอยที่ไม่สมบูรณ์
(รอยจ้ำเขียว ในพลอยเหลือง จึงเกิดจากการเผาพลอยโดยเมื่อยังไม่ครบรอบการเผา ก็รีบนำออกมาขาย เพราะกลัวขายไม่ได้ราคา)
.
⭕️ การซื้อขายพลอยในช่วงแรกๆนี่เอง ที่ซื้อกันด้วยความไม่รู้ จึงซื้อขายกันในราคาที่สูงเกินจริง
.
แต่เมื่อคู่ค้าต่างประเทศ (*ที่ค้าขายกันมานาน) เริ่มตีคืนสินค้ากลับมา ก็เกิดภาวะ…
‼️ตลาดช็อค และราคาพลอยก็ร่วงติดดิน
สิ่งเหล่านี้ทำให้ “คนทำพลอยสำเร็จ” ยุคนั้นเจ๊งกันไปหลายราย
.
🎈ส่วนในมุมของตลาดการขายส่งร้านจิวเวลรี่ภายในประเทศนั้น ก็เกิดภาวะช็อคกันทั้งวงการเช่นกัน
.
⭕️ ทุกครั้งที่ผมขายส่งพลอยเข้าตามร้านจิวเวลรี่
.
ถ้าเป็น “บุษย์จันท์” ทุกคนต่างปฏิเสธที่จะดูหรือถามถึงราคา แต่ถ้ามีใครได้ดู จะพูดเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า
.
📍พลอยสวย เนื้อพลอยดีมาก บางร้านพอได้ดูแล้วยังบอกกลับมาด้วยว่า
“รู้ไหม พลอยบุษย์จันท์สวยๆแบบนี้ สมัยก่อนเขาขายกันแพงแค่ไหน? มีเงินยังหาซื้อกันไม่ได้เลย ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้ราคาถูกมาก แต่คนกลับไม่เอากัน”
ว่าแล้วร้านจิวเวลรี่ร้านนั้น ก็ส่ายหน้าแล้วคืนพลอยกลับมา
.
🎈บางคนก็มักถามกันตรงๆก่อนเลยว่า “เป็นพลอยเขียวเผาใช่ไหม? เพราะไม่ซื้อ” และบางคนก็เรียกพลอยแบบนี้ว่า “พลอยเผาใหม่” ก็มี
📍คำว่า “พลอยเผาใหม่” เคยถูกใช้เรียกกับ “พลอยเผา Be” ในช่วงยุคแรก เพราะยุคนั้นถือเป็นการเผารูปแบบใหม่ของวงการพลอย
.
แต่ต่อมาเมื่อมีการค้นพบ “การเผาพลอยแบบอุดแก้วตะกั่ว (Lead glass filled -Pb)” แล้ว
คำว่า “พลอยเผาใหม่” จึงถูกเปลี่ยนมาใช้กับ “พลอยเผาอุดแก้วตะกั่ว” แทนจนถึงทุกวันนี้
📌 ส่วนการเผาพลอยบุษย์จันท์ จึงมักถูกเรียกว่า “เผาเบอริเลียม หรือเผา Be” แทน
.
🎈ถึงตรงนี้ คงทำให้ทุกท่านสรุป และย้อนคิดเหตุการณ์ที่ทำให้พลอยบุษย์จันท์ หรือที่บางคนเรียก “พลอยเขียวเผา” ซึ่งในยุคสมัยนั้นยังเป็นพลอยที่มีราคาถูก
📍ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ
🔹 ตลาดยังไม่เป็นที่ยอมรับ เพราะยังไม่มีองค์ความรู้ว่ามีที่มา วิธีการอย่างไร ใช่วิธีซ่านสี Diffusion หรือไม่?
.
ที่สำคัญคือ “สีของพลอย” ก็ยังไม่มีบทพิสูจน์ว่า จะคงทนถาวรนานแค่ไหน?
.
เมื่อเกิดกระแสการไม่ยอมรับในวงกว้าง จึงทำให้ราคาร่วงต่ำกว่าความเป็นจริง
.
🔹 วัตถุดิบ (*พลอยเขียวส่อง) ซึ่งเป็นต้นทุนหลัก มีอยู่มากมายก่ายกอง เพราะคนไม่นิยมสะสมมาแต่อดีต มักถูกคัดออก คัดทิ้งจากกองพลอยที่ขุดเจออยู่เป็นประจำ ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ต้นทุนการทำพลอยถูกลงอย่างมาก
แต่มีอีกสิ่งที่น่าเสียดายอย่างยิ่งคือ
🎈“ภูมิปัญญาการเผาพลอย Be” ที่คิดค้นโดยคนจันท์ ผู้ซึ่งเสมือนนักทดลองที่เก่งในภาคสนาม
.
เมื่อสามารถคิดค้น และพิสูจน์ผลงานด้วยการเผาพลอยด้วย Be จนปรากฎพลอยสวยๆออกมาสู่ตลาดโลกได้แล้ว
.
แต่กลับไม่สามารถเพิ่มมูลค่าพลอยจากนวัตกรรมความคิดตน และไม่สามารถเพิ่มมูลค่าวัตถุดิบที่มีอยู่ในท้องถิ่นได้เลย
🎈 และแล้วเวลาที่ผ่านไป.... ก็ได้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึง “คำตอบสุดท้าย”
หลังจากเมื่อเวลาผ่านไปอีกหลายปี
.
📍การพิสูจน์เรื่อง “ความคงทนถาวรของสีพลอย” เริ่มชัดเจนขึ้น
.
⭕️ ผมดีใจที่ได้เห็นห้องแลปหลายๆสถาบันในประเทศ ได้ร่วมออกมาพิสูจน์ จนกล้าระบุความคิดเห็นในใบเซอร์อย่างชัดเจนว่า
.
“The colour is stable”
“The colour is permanent”
(สีของพลอย มีความคงทน ไม่เปลี่ยนแปลง)
.
.
📍การพิสูจน์ต่อมาที่พบว่า “รอยจ้ำเขียว” ที่เห็นไม่ได้เกิดจากการเผาแบบใส่สี หรือ ทำกรรมวิธีที่คล้ายการ Diffusion (คือไม่ได้ซ่านสีจากแหล่งสีภายนอกเข้าไป)
.
ก่อนอื่นต้องทราบว่า…
การเผาพลอยแบบปกตินั้น
“ความร้อนจะเริ่มต้นแผ่จากภายนอก (*คือเบ้าเผา) เข้าสู่ภายในตัวพลอยอยู่แล้ว”
⭕️ ดังนั้นเมื่อนำพลอยมาเผาที่อุณหภูมิสูงโดยมีธาตุ Be เป็นตัวเร่งปฏิกิริยานั้น (เผา Be)
.
ขณะที่ตอนเผาพลอยยังไม่เสร็จดี (*คือยังไม่ถึงรอบเวลาเสร็จของ “เชื้อสีพลอย” ในเบ้านั้น)
.
📌 แต่คนเผาพลอยกลับหยุดการเผาซะก่อน นั่นหมายถึงการหยุดพัฒนาเรื่อง “สีของพลอย” ไปในตัว จึงทำให้เกิด
”การเผาพลอย Be ที่ไม่สมบูรณ์”
📍ดังนั้นการมองเห็นร่องรอย “จ้ำเขียว” ที่อยู่ในเนื้อพลอยสีเหลือง ซึ่งพบบริเวณกลางเม็ดพลอย
.
ก็ย่อมเป็นไปตามหลักของการแผ่ความร้อนที่ออกจากเบ้าเผา แล้วค่อยๆขยายแผ่เข้าสู่ตัวพลอยนั่นเอง
.
.
📍ความที่ Be เป็นธาตุที่ไม่มีสี (ไร้สี) จึงไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นตัว “แม่สี” ที่แพร่ผ่านเข้าไป
.
หรือแม้ว่าเราจะนำพลอยหลายสี หลายชนิด มาลองเผาในเบ้าเผาพลอยเดียวกัน และเผาไปพร้อมๆกัน ก็จะไม่ปรากฏว่ามีสีใดสีหนึ่งที่สามารถข้ามผสมสีกับสีของพลอยอื่นๆที่อยู่ใกล้เคียงได้
.
.
การพิสูจน์สิ่งต่างๆเหล่านี้ ย่อมทำให้ตลาดเริ่มกลับมายอมรับ “พลอยเผา Be” กันอีกครั้ง
.
📍ซึ่งต่อมาห้องแลปต่างได้เปลี่ยนการระบุความคิดเห็นในใบเซอร์ใหม่ว่า
“This stone has been enhanced by heat process with light element”
(พลอยเม็ดนี้ได้เผาด้วยธาตุเบา ~ธาตุเบา คือธาตุ Be นั่นเอง)
🎈ผมเองก็เคยได้มีโอกาสคุยกับผู้เผาพลอยที่เคยเผาพลอย Be ในยุคแรกๆเช่นกัน
.
เราพูดคุยกันจนได้ถามความในใจเขาว่า
.
“คิดว่าปัญหาในตอนนั้นเป็นยังไง? แล้วถ้าย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้ ควรทำแบบใด?”
.
.
🎈ในมุมของผู้เผาพลอย Be เอง มองว่า
“ณ. เวลานั้น ถึงแม้จะมีผู้รู้สูตรการเผา Be อยู่แค่เพียงไม่กี่คน แต่ทุกคนต่างเร่งพัฒนาสูตรเผาพลอยของแต่ละคนแข่งกับเวลา เพราะเวลาเป็นเงิน เป็นทอง
เผาออกมาเท่าไหร่มันก็ขายหมด วัตถุดิบก็มีมากมายก่ายกอง เผาเสียเผาไม่เสร็จก็มีราคา
แต่พอพลอยออกมาสู่ตลาดมากเกินไปนี่สิ... มันเลยเป็นปัญหา‼️
เพราะพลอยบุษย์ มันออกมาเยอะจนผิดสังเกต (*พลอยก้อนเขียวส่องมีเยอะ)
📌 ตลาดเลยมาตื่นว่า…
นำไปทำสีพลอยมาเปล่า? ทำไมมันมีให้หาซื้อกันได้เรื่อยๆ
🎈แต่พอคิดว่า...
ถ้าจะกลับไปแก้สถานการณ์กันใหม่ ก็คงต้องคุมปริมาณการเผาให้พลอยออกมาได้น้อยลง แบบไม่ผิดสังเกต
.
แต่จะคิดยังไง ก็ทำไม่ได้ เพราะทุกคนเห็นเงินมากองอยู่ตรงหน้าแล้ว... แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ มันก็ต้องเดินหน้าต่อ”
.
🎈จากเรื่องราวที่เกิดในวันนั้นจนถึงวันนี้ผ่านไปยี่สิบปี
📍กาลเวลาจึงเป็นบทพิสูจน์ราคาพลอยบุษย์จันท์ ที่มาจากพลอยเขียวส่องเผา ว่ามีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากความนิยม และการยอมรับของตลาด จนพลอยเขียวส่องที่เป็นวัตถุดิบหลัก เริ่มลดลงจนถึงขั้น...
‼️ เริ่มขาดแคลน
🎈ใครเลยจะเชื่อว่า จะมีวันนี้ที่เราได้เห็นราคาพลอยเขียวส่องทะยานขึ้นสูง จากที่เคยถูกทิ้งขว้าง หรือคัดออกจากกองพลอย แจกเพื่อนฝูงกัน
และแน่นอนที่น่าเชื่อว่า...ในเวลาอีกไม่นานต่อจากนี้
📌 “พลอยบุษย์จันท์ (เขียวเผา) คงเป็นพลอยในตำนาน เช่นเดียวกับพลอยทับทิมสยามที่จากไป...”
.
🎈ผมพยายามนำเสนอเรื่องราวจากประสบการณ์จริงที่ได้เจอในช่วงเวลานั้น
บางคนแอบสงสัย…
ทำไมผมจึงจำเหตุการณ์ได้ละเอียดขนาดนั้น...
.
นั่นเพราะการต่อภาพจิ๊กซอว์ที่เกิดจากการได้พูดคุยไม่ว่าจะเป็น
.
🔹 ผู้เผาพลอย Be ในยุคแรกๆโดยตรง
🔹 นักอัญมณีศาสตร์ผู้ออกใบเซอร์ในห้องแลป
🔹 การถามผู้รู้ ผู้ใหญ่แต่ละท่านที่อยู่ในวงการพลอยในมุมต่างๆ รวมถึง
🔹 ประสบการณ์การเป็นพ่อค้าพลอยของตัวผมเองที่อยู่ในเหตุการณ์ช่วงจังหวะนั้น เวลานั้นพอดี
.
🎈ผมขอถือโอกาสนี้ขอบคุณทุกข้อมูลที่ท่านเหล่านั้นได้เคยให้ และเคยสนทนาด้วย
.
จนสรุปเป็นข้อมูลอันทรงคุณค่าในบทความนี้ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้กัน
.
🎈ขออภัยที่ไม่สามารถสรุปเนื้อหาให้สั้นลงได้มากนัก เพราะจะขาดช่วงขาดตอนสำคัญไป จึงทำให้บทความนี้ยาวเป็นพิเศษ
.
แต่ก็หวังว่าทุกคนคงได้รับประโยชน์จากบทความนี้กันนะครับ
💕ถ้าท่านได้อ่านมาจนครบ โปรดช่วยแนะนำ เสนอแนะ ว่าอ่านแล้วรู้สึกอย่างไรกับงานเขียนชิ้นนี้ อาจจะยาวไป น่าเบื่อ ไม่เข้าใจ comment กันตรงๆเข้ามาได้ ผมยินดีรับฟังเพื่อประโยชน์ต่อการจัดทำบทความในครั้งถัดๆไป 👇
💢Copyright ©2021 “น้ำหนึ่งเจมส์”
น้ำหนึ่งเจมส์
สมาคมผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับ จันทบุรี
สมาชิกกรมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
"ความสุขของคุณ คือความภูมิใจของเรา"
Commentaires