top of page

🟢 พลอยบุษย์จันท์: ทำไมคนจึงชอบเรียกว่า "เขียวเผา"

อัปเดตเมื่อ 29 ก.ย. 2564


ย้อนรอย Timeline

‼️บุษราคัม จันทบุรี

ทำไมคนจึงชอบเรียกว่า "เขียวเผา"?


🎈ครั้งหนึ่งที่ผมเคยเขียนเรื่อง “พลอยเขียวส่องจันทบุรี” และ “การเผาใหม่ของพลอยทับทิมอุดแก้วตะกั่วไป”

.

มาวันนี้จึงอยากสะท้อนเรื่องราว ตำนานพลอยบุษราคัมจันทบุรี (บุษย์จันท์) เพราะยังมีบางส่วนของเรื่องราวที่เกี่ยวพันกัน

📍พลอยบุษราคัม หรือที่เรารู้จักกันดี ในชื่อทางการค้าว่า “Yellow Sapphire” นั้น

ในประเทศไทย มีการขุดพบที่ อ.บางกะจะ จ.จันทบุรี และที่ จ. กาญจนบุรี มาแต่โบราณ และวันนี้ผมอยากเล่าเจาะลึกเรื่องราวพลอย “บุษย์จันท์” โดยเฉพาะให้ได้ฟังกัน

.

เรื่องราวการทำเหมืองพลอยที่จันทบุรีนั้น ว่ากันว่าถ้าได้ขุดพบพลอยบุษราคัมที่ใด ก็มักจะพบพลอยเขียวส่อง (Green Sapphire) อยู่บริเวณนั้นเช่นเดียวกัน เพราะความที่พลอยทั้งสองชนิดนี้ ล้วนอยู่ในกลุ่มสายแร่ชนิดเดียวกัน



แต่เดิมในอดีต ความนิยมตัวพลอยบุษราคัมนั้นก็มีมากกว่าพลอยเขียวส่องหลายเท่านัก

.

เมื่อความต้องการพลอยบุษราคัมในตลาดมีสูงกว่า และยิ่งต้องพบว่า

.

📍ปริมาณการขุดเจอ “บุษย์จันท์” นั้น มีน้อยมากจนเกือบหมดไป

📍ราคาพลอย “บุษย์จันท์” ในช่วงเวลานั้น ก็สูงมากอย่างน่าใจหาย

🎈 ผมยังจำได้ถึงคำบอกเล่า ที่มาจากคนทำพลอยรุ่นเก่าๆที่มักเคยเล่าให้ฟังว่า

“แค่บุษราคัมจันท์เม็ดเล็กๆ สวยๆ คุณภาพดีๆ ที่มีน้ำหนักเพียง 3-4 กะรัตก็มีราคาขึ้นหลักแสนเสียแล้ว” (หลักแสนในสมัยก่อนก็ช่างต่างจากหลักแสนในปัจจุบันเหลือเกิน)

และสมัยนั้นเอง…

ก็ยังมีซื้อขาย “พลอยบุษราคัม แบบดิบ” หรือเป็นแบบ “พลอยสด” กันอยู่ เพราะชาวบ้านต่างก็ยังไม่รู้จักวิธีการเผาพลอยกัน

.

⭕️ จนยุคต่อมา…

เมื่อเริ่มค้นพบและพัฒนาวิธีการเผาพลอยได้

📍พลอยบุษราคัมจันท์ เผาเก่า หรือเผาแบบโบราณจึงเกิดขึ้น

แต่อย่างไรก็ยังมีออกมาให้พบเห็นในท้องตลาดไม่มากนัก

.

📍สาเหตุเพราะ…

“วัตถุดิบพลอยก้อนสีเหลือง” ที่ไม่ค่อยมี ซึ่งทำให้ราคาพลอยบุษราคัม จันทบุรีในช่วงเวลานั้นสูงต่อเนื่องโดยตลอดเช่นกัน

.

.

⭕️ ช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนี่เอง...

ก็เป็นช่วงเวลาที่เริ่มมีพลอยก้อน “บุษราคัมจาก ประเทศศรีลังกา” หรือที่คนไทยมักคุ้นเรียกกันว่า “บุษย์ ซีลอน” ได้ถูกนำเข้ามาเผาที่จันทบุรี (แหล่งรวมภูมิปัญญาการเผาพลอยมาแต่โบราณ)

.

การเผาพลอยด้วยภูมิปัญญาชาวบ้านแบบเก่า (เผาเก่า) ได้ช่วย…

📍ทำให้การเผาพลอย ”บุษย์ ซีลอน” ที่แต่เดิมเป็นพลอยสีเหลืองโทนอ่อน (โทนสีบุษย์น้ำเพชร)สามารถถูกเผาได้ จนสวยสว่างขึ้นมาเป็นพลอยสีโทน “บุษย์น้ำทอง บุษย์น้ำโขง และ โทนสีหมากสุกได้”

📍และด้วยลักษณะเด่นของ “สีพลอย” บุษย์ ซีลอน ซึ่งเป็นพลอยสีสด สีเปิดโปร่ง...

ทำให้ “พลอยบุษย์ ซีลอน” เข้ามาครอบครองความนิยมในใจคนไทยอย่างรวดเร็ว

🎈 ถ้าใครสะสมพลอยมานาน ยังคงจำกันได้ถึงช่วง 20-30 ปีก่อน ที่ทุกคนมักถามหากันแต่ “บุษย์ ซีลอน”

.

และช่วงเวลานั้น…

ก็จัดเป็นช่วงยุคทองของ “พลอยบุษย์ ซีลอน” ที่ขายได้ราคาดีกันเลยทีเดียว

.

.

⭕️ ต่อมาช่วงราวๆปี 2544 หรือเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ก็เป็นอีกช่วงเวลาสำคัญสำหรับคนในวงการพลอยที่ต้องจดจำ

.

📍เมื่อปรากฎว่า…

มีผู้เผาพลอยที่สามารถค้นพบ “การเผาพลอยรูปแบบใหม่” ได้โดยบังเอิญ

.

และผมขอเรียกกรรมวิธีการเผาพลอยแบบนี้ว่า

‼️ ”การเผา Be” ‼️

ที่อยากเน้นย้ำว่าเป็นเรื่อง "ความบังเอิญ" นั้นเป็นเพราะว่า

.

📍เมื่อผู้เผาพลอยได้เผาอบพลอยเนื้ออ่อนบางชนิดจนเสร็จ ซึ่งนั่นก็รวมถึงกลุ่มพลอยเนื้ออ่อนตระกูลคริสโซเบอริลซึ่งปะปนรวมอยู่ด้วย

.

ต่อมาเมื่อผู้เผาพลอยนำพลอยเนื้ออ่อนชุดนั้นที่เผาเสร็จแล้ว ออกจากเบ้าเผา และแล้ว

ด้วยความบังเอิญ

ก็นำ “พลอยเนื้อแข็ง” ที่มีหลากหลายสี (ซึ่งได้เตรียมไว้แล้ว) เพื่อจะใส่ใน “เบ้าเผาพลอ