top of page

"พลอยเนื้ออ่อน” ในมุมที่คุณไม่เคยรู้

4 ปัจจัยที่ช่วยคุณสะสม "พลอยเนื้ออ่อน” แบบมีราคา


ในอดีตที่มีการขุดเจอพลอยกันเยอะๆ คนมักจะเลือกสะสมแต่พลอยเนื้อแข็ง ซึ่งมีความแข็งระดับ 9 เช่น ทับทิม, ไพลิน, และบุศราคัม กันทั้งนั้น เหตุผลหนึ่งคงเป็นเพราะมีความเชื่อกันมาแต่อดีตว่า พลอยเนื้อแข็ง ทำตกหล่น ก็ไม่แตก


แต่ในความเป็นจริงแล้ว ระดับความแข็งของพลอยบอกเพียงแค่ว่า


"ความแข็งที่ทนต่อการขีดข่วนระหว่างพลอยด้วยกันเอง เท่านั้นครับ"



เพราะขนาดเพชรเองที่มีความแข็งสูงกว่าพลอย (สูงสุดถึงระดับ 10 ก็ตาม) ถ้าเจอช่างฝังเพชรที่กดเม็ดเพชรลงตัวเรือนแรงเกินไป ก็มีเหตุให้เพชรบิ่น หรือร้าวหลบอยู่ใต้หนามเตยได้เช่นกัน ความแข็ง และความอ่อนของเพชรพลอยจึงไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ความสามารถรับแรงกระแทก หรือไม่แตกได้ง่าย หากเป็นแต่เรื่อง “การเสียดสี ขีดข่วนด้วยกันเอง”


ยกตัวอย่างเช่นการที่เพชรกับพลอยที่เก็บอยู่ในห่อเดียวกัน การเสียดสีด้วยกันเองย่อมทำให้พลอยมีโอกาสเป็นรอยขีดข่วน ในขณะที่เพชรไม่เป็นไร

 

นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อที่ฝังใจกันมาแต่อดีตว่า…

  • พลอยเนื้ออ่อน มักหมายถึง "พลอยปลอม" บ้าง

  • พลอยอ่อน คือพลอยที่ยังไม่ถึงเวลาขุด

  • บางคนเข้าใจถึงการเรียกพลอยที่มีราคาถูกๆ ราคาไม่แพง เป็นต้น

แต่โดยความเป็นจริงแล้ว "พลอยเนื้ออ่อน" ก็คือ พลอยแท้ที่ขุดเจอตามธรรมชาติ เช่นเดียวกับพลอยเนื้อแข็ง เพียงแต่ต่างกันที่ระดับความแข็ง (ซึ่งใช้การวัดตามหลักโมลด์สเกล 1-10) โดยพลอยเนื้อแข็ง จะมีระดับที่ 9 ในขณะที่พลอยเนื้ออ่อนมีความแข็งระดับ 8 ลงมา มิได้เกี่ยวกับเรื่อง "พลอยอ่อนที่ยังไม่ถึงเวลาขุด" แต่อย่างใด

 

ส่วนพลอยเนื้ออ่อน ที่เรามักสงสัยกันว่า ทำไมมีมากมายหลากหลายชนิด นั่นเป็นเพราะ

“พลอย คือแร่ธาตุธรรมชาติ” และเมื่อแร่ธาตุมาเรียงตัวในองค์ประกอบที่แตกต่างกันไป จึงทำให้เกิดเป็นพลอยมากมายหลากหลายชนิดแตกต่างกันนั่นเอง เช่นแร่เพทาย แร่โกเมน แร่ทัวมาลีน เป็นต้น และสาเหตุที่พลอยในแต่ละชนิด ล้วนมีมากมายหลากสี ก็เนื่องมาจาก “ธาตุให้สี” ที่อยู่ในองค์ประกอบนั้นๆนั่นเอง เช่นแร่ทัวมาลีน ย่อมมีโอกาสเจอทุกสี เช่น ทัวมาลีนสีเขียว แดง น้ำเงิน เหลือง ฟ้า เป้นต้น ส่วนในเรื่องราคาพลอยเนื้ออ่อน ก็มีทั้งที่ราคาถูก และราคาแพง ซึ่งทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับ ”ปริมาณการขุดเจอ” โดยถ้าขุดเจอกันเยอะๆ ราคาก็มักจะถูก เช่น "โทปาส", พลอยตระกูล "ควอทซ์" ทั้งหลายเช่น ซิทริน อเมทิสต์ คาลซิโดนี เป็นต้น ในขณะที่ พลอยเนื้ออ่อน ที่คุณภาพดีๆ และขุดเจอกันน้อยๆ ก็มักมีราคาที่แพง เช่น

  • ”หยกพม่า”(Jadeite)

  • ”มรกต” (Emerald)

  • ”ซาโวไรท์” (Tsavorite)

  • ”ดีมานทรอยด์” (Demantoid)

  • ”สปิเนลสีแดง” (Spinel)

  • “พาไรบ้าทัวมารีน” (Paraiba Tourmaline)

  • ”ไพฑูรย์ ตาแมว” (Chrysoberyl Cat Eye)

  • ”เจ้าสามสี” (Alexandrite) เป็นต้น


 

ในส่วนประเด็นเรื่องของราคา คงมีบางคนค้านในใจว่า

“พลอยเนื้อแข็งก็มีแต่เจอราคาแพงๆกันทั้งนั้น ไม่ค่อยเห็นราคาถูกเลย”

 

ซึ่งจะว่าไปแล้ว… พลอยเนื้อแข็งที่ขุดเจอเยอะ แบบราคาถูกๆ ก็มี ดังเช่น “Black Star Sapphire” ทั้งที่เป็นพลอยเนื้อแข็ง พลอยดิบธรรมชาติ แต่เป็นเพราะมีการขุดเจอเยอะนั่นเอง หรือ อาจจะนึกถึงพลอยเนื้อแข็งพวก “ทับทิมอัฟริกา/ไพลินอัฟ เผาใหม่” ซึ่งวิธีการเผาใหม่ ก็เพราะเป็นวิธีการที่ใช้เผาพลอยที่มีคุณภาพต่ำ ซึ่งพลอยกลุ่มนี้ก็มี *ปริมาณพลอยที่ขุดเจอเยอะเช่นกัน จึงส่งผลต่อราคาพลอยที่ถูกลง สามารถอ่านรายละเอียด เรื่องพลอยเผาใหม่อุดแก้วตะกั่ว เพิ่มเติมได้จากโพสต์ก่อนหน้านี้



 

*แล้วปัจจัยอะไร… ที่เราใช้เลือกเพื่อ สะสมพลอยเนื้ออ่อน ให้มีคุณค่ามากขึ้น‼️

 


ในระยะหลัง ที่คนเริ่มมีความรู้ และเริ่มมาสนใจพลอยธรรมชาติกันมากขึ้น พลอยเนื้ออ่อนจึงเป็นที่จับตามองมากขึ้น โดยเหล่าบรรดานักสะสมพลอยล้วนให้ความสำคัญกับ การเลือกสะสมพลอยเนื้ออ่อนที่มีคุณค่าในอนาคต โดยเลือกพลอยโดยใช้หลักที่ว่า

1. เลือกพลอยเนื้ออ่อน ที่มีสีมาจากธรรมชาติ คือขุดมาได้สีอะไรก็เจียระไนกันเลย เรียกได้ว่าเป็นพลอยสีธรรมชาติร้อยเปอร์เซนต์ เหมือนพวกพลอยเนื้อแข็งดิบกันเลย เพราะโดยธรรมชาติ พลอยเนื้ออ่อนหลายๆชนิด มักไม่สามารถเผาไฟที่อุณหภูมิสูง เพื่อเพิ่มคุณภาพสีพลอยได้เหมือนพลอยเนื้อแข็ง แต่ก็ต้องระวังว่า พลอยเนื้ออ่อนบางชนิดสามารถใช้วิธีการฉายรังสี เพื่อทำสีของพลอย ยกตัวอย่างเช่น


  • โทปาส(Topaz) ที่สีของพลอย แทบจะทุกเม็ด มักเกิดจากการฉายรังสี (กัมมันตรังสี)

  • หยก ~บางเม็ดอาจพบเรื่องการย้อมสี

  • Rubellite (รูเบลไลต์ คือทัวมารีนที่มีสีแดง) ~ บางเม็ดอาจพบเรื่องการฉายรังสี ซึ่งวิธีการเหล่านี้ล้วนไม่เป็นที่ยอมรับของตลาด


2. เลือกพลอยเนื้ออ่อนที่มีความแข็งระดับ 7 ขึ้นไป ซึ่งความแข็งระดับนี้สามารถนำมาทำเครื่องประดับได้เช่นเดียวกับพลอยเนื้อแข็งเลย แต่ถ้ามีความแข็งต่ำกว่าระดับนี้ ก็อาจจะไม่เป็นที่นิยมนำมาทำกัน 3. เลือกพลอยเนื้ออ่อนบางชนิดที่มีสีสวยๆ และเป็นพลอยที่หายาก เพราะขุดเจอน้อย พลอยเหล่านี้เมื่อเวลาผ่านไป ราคาพลอยที่สะสมย่อมสูงขึ้นตามกาลเวลา เช่น มรกต, หยก, ซาโวไรท์, แทนซาไนท์, สปิเนลสีแดง, เพทายสีน้ำเงิน เป็นต้น 4. มีพลอยเนื้ออ่อนหายากบางชนิด ที่สามารถพบเจอสีธรรมชาติที่ทดแทนพลอยเนื้อแข็งที่ขาดแคลน ~โทนสีที่หายาก ได้ เช่น สปิเนลสีพัดพารัดชา ของเหมืองมาเฮนเก้ เป็นต้น

 

สิ่งเหล่านี้จึงสะท้อนเรื่องราวพลอยสีธรรมชาติ จากอดีตที่ไม่ค่อยจะมีคนรู้จัก และให้ความสำคัญกัน จนมาถึงยุคนี้ที่พลอยเนื้อแข็งสีสวยๆ คุณภาพดีๆเริ่มลดลงจนทำให้มีราคาแพงขึ้นแบบพุ่งพรวด


ประกอบกับคนมีความรู้เรื่องพลอยมากขึ้น และหันมาสะสมพลอยสีแบบธรรมชาติที่ไม่ผ่านกรรมวิธีเรื่องปรับปรุงคุณภาพใดๆ เรียกว่า ”สะสมความสวยแบบธรรมชาติกัน” จนในปัจจุบัน พลอยเนื้ออ่อนที่มีคุณสมบัติอย่างที่กล่าวมา มีราคาเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจทีเดียวครับ

 

"น้ำหนึ่งเจมส์" เซ็นทรัลพระราม2, ชั้น 2


รับรองสมาชิกโดย #สมาคมผู้ค้าอัญมณีเครื่องประดับจันทบุรี สมาชิกกรมการค้าระหว่างประเทศ, กระทรวงพาณิชย์


"ความสุขของคุณ คือความภูมิใจของเรา"


 

ช่องทางติดต่อเรา ✅LINE: https://line.me/R/ti/p/%40dhq2462l



✅Instagram : @nngjewelry https://www.instagram.com/nngjewelry

 

ดู 3,617 ครั้ง0 ความคิดเห็น
bottom of page